ตามหาไทยแท้
|
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยสำคัญอย่างไรกับการเปลี่ยนแปลง
ในสมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้มีดำริที่จะจัดสร้างอนุสรณ์เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังรำลึกถึงความสามัคคีกลมเกลียวในชาติ และพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญของชาติ ตลอดจนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนี้นำมาซึ่งความสถาพรแก่ชาติ รัฐบาลจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อจัดหาพื้นที่ที่เหมาะสมแก่การสร้างอนุสาวรีย์ เมื่อพิจารณาที่เหมาะสมนั้น จึงเห็นว่าบริเวณถนนราชดำเนินที่กำลังมีการปรับปรุงอยู่ในขณะนั้น เป็นพื้นที่ที่เหมาะสม ประกอบกับขณะนั้นกำลังมีการก่อสร้างสะพานเฉลิมวันชาติในบริเวณเดียวกัน การสร้างอนุสาวรีย์จะยิ่งสร้างความสง่างามแก่บ้านเมือง รัฐบาลได้จัดการประกวดการออกอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนี้ โดยแบบที่ได้รับรางวัลและนำมาจัดสร้างคือแบบของหม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล
พิธีก่อฤกษ์อนุสาวรีย์ได้ถือฤกษ์วันชาติไทยในขณะนั้นคือ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 เป็นวันก่อฤกษ์ โดยจอมพล แปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้เป็นประธานในพิธีมณฑล พิธีเริ่มต้นขึ้นในเวลา 9 นาฬิกา 16 นาที เสร็จสิ้นเมื่อเวลา 9 นาฬิกา 57 นาที กระบวนการเปลี่ยนแปลงจากสยามเป็นประเทศไทย
24มิถุนายน 2482 วันครบรอบ7ปีของการเปลี่ยน แปลงการปกครอง 2475 นายพลตรีหลวงพิบูลสงคราม (ยศขณะนั้นของจอมพล ป. พิบูลสงคราม) ในบทบาทของ “ท่านผู้นำ” ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศ ทั้งในภาษาไทยและอังกฤษ ดังนี้
"โดยที่ชื่อของประเทศนี้มีเรียกกันเป็น 2อย่าง คือ ไทย และสยาม แต่ประชาชน นิยมเรียกว่า “ไทย”(ต่างชาตินิยมเรียกสยาม) รัฐบาลเห็นสมควรถือเป็นรัฐนิยมให้ใช่ชื่อประเทศและเชื่อชาติดังนี้ ก.ในภาษาไทย ชื่อประเทศ ประชาชน และสัญชาติ ให้ใช้ว่าไทย ข.ในภาษาอังกฤษ 1.ชื่อประเทศ ให้ใช้ Thailand 2.ชื่อประชาชนและสัญชาติให้ใช้ thai " ในวันนี้นอกจากเปลี่ยนชื่อประเทศแล้วรัฐบาลยังได้ดำเนินการในเรื่องอื่นๆเช่น การลงนามในสนธิสัญญาใหม่กับมหาอำนาจต่างๆที่สำคัญ โดยใช้ชื่อประเทศไทย และยังมีพิธีการที่แปลกใหม่ คือการเฉลิมฉลองวันชาติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แผนการเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทยนั้นได้มีการเตรียมการและวางแผนไว้เป็นอย่างดีแล้ว |
ผลจากการเปลี่ยนแปลงชื่อจากสยามเป็นประเทศไทย
ภายหลังการเปลี่ยนนามประเทศดังกล่าว ส่งผลให้รัฐบาลในสมัยนั้นได้ดำเนินการทั้งทางตรงและทางอ้อมให้มีการเปลี่ยนแปลงนามและชื่อต่างๆ อีก ดังนี้
2.1 เปลี่ยนแปลงแก้ไข “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม” เป็น “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” โดยขอมติจากสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 3 ตุลาคม 2482 2.2 เปลี่ยนเนื้อร้องของ “เพลงชาติ” ซึ่งขุนวิจิตรมาตราแต่งไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2477 ซึ่งมีคำขึ้นต้นว่า “แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตแดนสง่า” และมีคำลงท้ายว่า “เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินของไทย สถาปนาสยามให้เทิดไทย ไชโย” ให้กลายเป็นเนื้อร้องของ “กองทัพบก” (โดยหลวงสารานุประพันธ์ เมื่อ 10 ธันวาคม 2482) ซึ่งมีคำขึ้นต้นว่า “ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน” และมีคำลงท้ายว่า “สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี เถลิงประเทศไทยทวีมีชัย ไชโย” 2.3 เปลี่ยนและตัดเนื้อร้องกับทำนอง “เพลงสรรเสริญพระบารมี” เมื่อ 26 เมษายน 2483 ให้สั้นลง เหลือเพียง “สังเขป” ดังนี้ “ข้าวรพุทธเจ้า เอามโนและศิระกราน นบพระภูมิบาล บรมกษัตริย์ไทย ขอบันดาล ธ ประสงค์ใด จงสฤษดิ์ดัง หวังวรหฤทัย ดุจจะถวายชัย ชโย” ทั้งนี้โดยตัดตอนกลางออก คือ “เอกบรมจักริน พระสยามินทร์ พระยศยิ่งยง เย็นศิระเพราะพระบริบาล ผลพระคุณ ธ รักษา ปวงประชาเป็นสุขศานต์” เนื้อ และทำนอง “สังเขป” นี้ถูกใช้อยู่ 5 ปี และเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เสด็จกลับจากสวิตเซอร์แลนด์ตอนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ 5 ธันวาคม 2488 และโดยที่รัฐบาลของจอมพลป. พิบูลสงคราม ไม่ได้อยู่ในอำนาจ (ชั่วคราว) ทำนองและเนื้อร้องสมบูรณ์ก็ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ 2.4 ทำให้มีการเปลี่ยนนาม “พระสยามเทวาธิราช” เป็น “พระไทยเทวาธิราช” นามของเทพพิทักษ์กรุงสยามนี้ สามารถเปลี่ยนกลับมาได้ด้วยเหตุผลเช่นเดียวกับข้อความข้างต้น ทั้งยังเป็นนามที่มิได้มีการเขียนบํญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในประกาศกฏ หมายอย่างเป็นทางการใดๆ จึงทำให้เปลี่ยนกลับได้โดยง่าย (ต่างกับนามของประเทศข้างต้น) 2.5 ทำให้มีการเปลี่ยนนามของ “สยามสมาคม” และ The Siam Society เป็นไปว่า “สมาคมค้นวิชาแห่งประเทศไทย” หรือ The Thailand Research Society อยู่ 5 ปีระหว่าง พ.ศ. 2485-2489 (1942-1946) “สยามสมาคม” เปลี่ยนกลับมาได้ก็ด้วยคำอธิบายเช่นเดียวกับกรณีของ “พระสยาม(ไทย)เทวาธิราช” 2.6 นอกจากนี้ รัฐบาลสมัยนั้นยังให้มีการเปลี่ยนชื่อบริษัทขนาดใหญ่ๆ เช่น “สยามกัมมาจล” เป็น “ธนาคารไทยพาณิชย์” เปลี่ยนจากภาษาอังกฤษว่า The Siam Commercial Bank เป็น The Thai Commercial Bank เมื่อ 27 มกราคม 2482 (มกราคมสมัยนั้น ถือเป็นเดือน 10 ยังไม่ใช่เดือนแรกของปีปฏิทิน จนกระทั่ง พ.ศ. 2484) กรณีของธนาคารนี้จะแปลกกว่ากรณีอื่นๆ คือ เมื่อรัฐบาลของจอมพลป. พิบูลสงครามไม่ได้เป็นรัฐบาลช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็มีการเปลี่ยนกลับ แต่เปลี่ยนกลับแบบ “พันทาง/ลูกผสม” (พ.ศ. 2489) คือ เปลี่ยนเฉพาะในภาษาอังกฤษ ไม่เปลี่ยนในภาษาไทย ดังนั้น นามปัจจุบัน คือ “ธนาคารไทยพาณิชย์/The Siam Commercial Bank” ซึ่งเป็น “พันทาง/ลูกผสม” คล้ายๆกับกรณีของ "บริษัทปูนซิเมนต์ไทย" ที่ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า "The Siam Cement" และเคยเปลี่ยนเป็น "The Thai Cement" (พ.ศ.2482 แล้วก็เปลี่ยนกลับอีกใน พ.ศ. 2489) 2.7 รัฐบาลของจอมพลป. พิบูลสงครามได้เปลี่ยนนามของ“มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง” ซึ่งมีชื่อภาษาอังกฤษว่า The University of Moral and Political Sciences (UMPS) เป็น “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” หรือ Thammasat University (TU) เมื่อปี พ.ศ. 2495 แล้วตั้งจอมพล ป. พิบูลสงคราม (นรม. สมัยนั้น) เป็นอธิการบดี (แทนผู้ประศาสน์การปรีดี พนมยงค์ และเมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ทำการรัฐประหารยึดอำนาจจอมพล ป. ก็มีการตั้งจอมพลถนอม กิตติขจร เข้าเป็นอธิการบดีแทนอีกด้วย) มุมมองต่างๆ ของชื่อ สยามประเทศ ในแง่ประวัติศาสตร์ ชื่อสยาม เป็นชื่อของดินแดนนี้มาก่อนสุโขทัยเป็นราชธานี ตามเอกสารจีนโบราณเรียกว่า “เสียมล้อ” เมื่อฝรั่งเข้ามาติดต่อค้าขายในสมัยอยุธยาจึงเรียกชื่อประเทศตามนี้ “สยาม” จึงเป็นชื่อที่มีประวัติอันยาวนานจนกระทั่งเป็นที่คุ้นเคยกับนานาประเทศ ภายในประเทศถือว่า “สยาม” เป็นชื่อ “สูง” ใช้เฉพาะวรรณคดีและภาษาราชการ ส่วนภาษาพูดคนทั่วไปเรียกประเทศว่า “เมืองไทย” ในแง่พุทธคติ คำว่า “สยาม” มาจากภาษาบาลี มีความหมายทางศาสนาดังนี้ (1) ส. แปลว่า ร่วม (2) ยาม คือยามะ แปลว่าสวรรค์ชั้นที่ 3 (3) สยาม จึงหมายถึงแผ่นดินร่วมสวรรค์ชั้นยามะซึ่งเป็นชั้นที่พระโพธิสัตว์(กล่าวคือพระมหากษัตริย์)ลงมาร่วมจุติ ดังนั้น พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศ์จึงทรงพระนามตามคำนี้ ดังเช่น พระสยามินทร์ และพระสยามบรมราชกุมารี”. ในแง่โหราศาสตร์ (1) ส.ซึ่งนำหน้าชื่อสยามเป็นทักษานามตามกำลังของดาวพระศุกร์ อันเป็นดาวแห่งความอุดมสมบูรณ์ ความหมายในชื่อสยามก็คือแผ่นดินนี้อุดมสมบูรณ์ (2) ดวงเมืองที่ผูกไว้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชื่อประเทศ “สยาม” และโหรถือว่า การที่ชื่อประเทศไม่ตรงต่อดวงเมืองทำให้ประเทศต้องล้มลุกคลุกคลาน ทั้งๆที่มีทรัพยากรเป็นอันมาก ในแง่รัฐศาสตร์ (1) คำว่า “ประเทศไทย” บ่งถึงเชื้อชาติ ดังเช่นใน “เพลงชาติ” ซึ่งร้องกันอยู่ทุกวันนี้ (อีกทั้งเป็นเพลง“สาธารณรัฐ”) ส่วนคำว่า “สยาม” บ่งถึงสัญชาติ ดังนั้น สยามประเทศจึงเป็นแผ่นดินที่ประกอบด้วยคนหลายเผ่าหลายศาสนาถึงแม้เผ่าไทยและพุทธศาสนิกชนจะมีมากกว่ากลุ่มชนอื่น ทุกคนทุกศาสนาอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติโดยยึดถือพระสยามินทร์เป็นองค์ประมุของค์เดียวกัน (2) ทุกวันนี้ ชาวมุสลิมปักษ์ใต้ที่สูงอายุขานพระนามพระมหากษัตริย์ว่า “รายาเซียม” (3) พระปฐมบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันเมื่อครั้งพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกมีดังนี้ “เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ทั้งนี้เพราะคำว่า “มหาชนชาวสยาม” มีความหมายที่กว้าง สามารถรวมประชาชนทุกเผ่าทุกศาสนาให้อยู่ด้วยกันได้ ในแง่รัฐธรรมนูญ อาจมีผู้สงสัยถามว่า ในปัจจุบันการใช้ชื่อ “สยาม” หรือ “สยามประเทศ” ผิดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ? คำตอบคือ ไม่ผิด ทุกวันนี้รัฐธรรมนูญมีอยู่ 2 ฉบับ ฉบับที่หนึ่งเขียนแล้วแก้อยู่ตลอดเวลา แต่อีกฉบับหนึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นจากขนบธรรมเนียมประเพณี (common law) จากคติธรรม จากทศพิธราชธรรม และจากคำพิพากษาศาล หรือตัวอย่างบรรทัดฐาน (precedence) กล่าวคือ เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่มีความศักดิ์สิทธิ์ ตามรัฐธรรมนูญที่กล่าวนี้ ในพระบรมราชโองการจึงยังมีการใช้ชื่อประเทศ “สยาม” เช่น ในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่ม 89 ตอนที่ 200 วันที่ 28ธันวาคม พ.ศ. 2515 เมื่อราชกิจจานุเบกษาเป็นเอกสารทางราชการ จึงแสดงให้เห็นว่า “สยามประเทศ” เป็นชื่อของราชอาณาจักรนี้อยู่ ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด โดยในปัจจุบัน การเปลี่ยนชื่อจาก "ไทย" กลับเป็น "สยาม" ยังเป็นประเด็นข้อถกเถียงสำหรับนักวิชาการ |
จงรักษ์ประเทศไทย
หนูนา หนึ่งธิดา - แผ่นดินของเรา (เพลงจากละครเวที เลือดขัตติยา เดอะมิวสิคัล)
คำร้อง วิเชียร ตันติพิมลพันธ์ ทำนอง สราวุธ เลิศปัญญานุช เรียบเรียง พัชรพงศ์ จันทาพูน " คำ ที่พ่อเคยสอน จงมองหัวใจประชา ดั่งว่าเป็นหัวใจเรา จะมีใครอยู่ผู้เดียวได้เล่า ต้องมีเรามีเขา ไม่ว่าใครต้องมีเพื่อนร่วมใจ ดูแลกันไว้แผ่นดินจึงร่มเย็น เพราะทุกดวงใจเหมือนดินและทราย ที่รวมกันกลายเป็นผืนดิน หากว่าผืนดินแตก และแยกกันไป จะยืนได้อย่างไรต่อไป หากเราช่วยพยุงแผ่นดิน แผ่นดินจะช่วยพยุงตัวเรา จะยืนเช่นไรให้ยั่งยืนนานได้เล่า ถ้าเราขาดสิ่งค้ำจุน แผ่นดินยั่งยืนและมั่นคง ก็เพราะมวลชนร่วมกันประคอง ต้องมีทั้งเธอและฉัน จะเกิดพลังเพื่อสร้างความเรืองรอง ต่อไปนี้เม็ดดิน เม็ดทรายทุกก้อนจะมีค่ากว่าทอง แผ่นดินอันเรืองรองของเรา... ความเชื่อวันนั้นยังคงยึดมั่น ความต่างกันถึงวันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงวันนี้ รวมความต่างคือรวมความแข็งแกร่ง พวกเราจะรวมแรงสร้างแผ่นดินเกรียงไกร... อย่าถามแผ่นดินจะให้สิ่งใด แต่จงร่วมใจเข้ามาประคอง ต้องมีทั้งเธอและฉัน จะเกิดพลัง เพื่อสร้างความเรืองรอง ต่อไปนี้เม็ดดิน เม็ดทรายทุกก้อนจะมีค่ากว่าทอง แผ่นดินอันเรืองรองของเรา แผ่นดินทองของเรา " |
ค้นหาคำตอบจากผู้รู้